คอร์สเรียน Forex
เรียนรู้ Forex ฟรีได้ที่นี่ สามารถเรียนได้ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเข้าสู่ตลาดอย่างมีระบบสู่นักเทรดมืออาชีพ
Forex พื้นฐาน
FOREX (Foreign Exchange Market) หรือเรียกว่า FX ในภาษาไทยหมายถึง ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง (หยุดเสาร์ – อาทิตย์และวันสำคัญของแต่ละธนาคารทั่วประเทศ) สำหรับตลาดนี้ถือว่า เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ในตลาดนี้จะมีการแลกเปลี่ยนของเงินตรา, ทองคำ, เงิน, น้ำมัน, ดัชนีต่างๆ และอื่นๆ อีกมากผ่านโบรกเกอร์ผู้ให้บริการ ยกตัวอย่างการแลกเปลี่ยนเงินตรา เช่น แลกเปลี่ยนเงิน บาท (BAHT) เป็น ดอลลาร์ (USD), ยูโร (EUR) เป็น เยน (JPY) เป็นต้น สามารถแลกเปลี่ยนได้ทุกสกุลเงินขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์นั้นๆ ด้วย ซึ่งการขึ้นลงของกราฟจะขึ้นอยู่ Demand และ Supply ในขณะนั้นๆ
หากสนใจตลาด Forex จะต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจการแปรผันของตลาด หลังจากเข้าใจแล้ว สามารถเข้าซื้อขายตลาดจริงผ่านโบรกเกอร์ตามขั้นตอน ดังนี้
- เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เราจะเปิดบัญชี (ดูโบรกเกอร์แนะนำ)
- ศึกษาความรู้ และเทคนิคในการเทรดที่เหมาะกับตัวเอง
- บริหารเงินลงทุน เข้าใจตลาดว่ามทั้งกำไรและขาดทุน
- เรียนรู้จิตวิทยา ในการเทรดเพื่อความสำเร็จระยะยาว
โปรแกรมที่ใช้เทรดสามารถดูได้ที่โบรกที่สมัครได้เลย แต่ละโบรกจะมีโปรแกรมเทรดที่แตกต่างกันไป ซึ่ง Meta4, Meta5 และ cTreader จะมีเกือบทุกโบรกเกอร์เลยทีเดียว
Trading View เป็นโปรแกรมที่แตกต่างออกไป เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะใช้ในการวิเคราะห์เชิงลึกเนื่องจากมีเครื่องมือที่ครบครัน และมีบางโบรกที่สามรถเชื่อมต่อเพื่อเทรดผ่าน Tradingview ได้เลย เช่น Eightcap เป็นต้น
โปรแกรมในการเทรดทั้งหมด มีดังนี้
– MetaTrader 4 (ยอดนิยม)
– MetaTrader 5 (ยอดนิยม)
– Tradingview (เหมาะกับการวางแผน)
– cTrader
– NinjaTrader
– eSignal
– ProRealTime
- Technical ใช้เทคนิคเป็นหลัก
- Fundamental ใช้ปัจจัยข่าว เศรษฐกิจเป็นหลัก
- Hybrid (Technical และ Fundamental) ใช้แบบผสมผสาน
การวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุดเข้าออเดอร์ที่ดีที่สุดสำหรับเทรดเดอร์จะต้องมีการวางแผนจากเครื่องมือและเทนิคอลต่างๆ เพื่อให้มีการ Confluence กันเกิดขึ้นเป็นการยืนยันจุดเข้าอย่างมั่นใจ เกิดอัตราการเข้าถูกทางสูงขึ้นอีกด้วย
ตัวอย่างเครื่องมือและเทคนิคอลวิเคราะห์กราฟที่ได้รับความนิยม
– Resistant Zone และ Support Zone
– Trendline และ Swing (Dow)
– Demand Zone และ Supply Zone
– QML
– Fibbonacci
– Chart Pattern
– Price Action หรือ PA (รูปแบบแท่งเทียน)
– Rejection Pattern
– Indicator เช่น EMA, RSI, MACD, STO, ATR เป็นต้น
– BOS, $$$, cHoCH, POI ฯลฯ
– และอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งหากเครื่องมือหรือเทคนิคเหล่านี้ถูกวิเคราะห์ออกมาในจุดใกล้เคียงกันหลายๆ ตัว (Confluence) ถือว่าจุดนั้นๆ มีนัยยะสำคัญ เหมาะกับการตัดสินใจเข้าออเดอร์ ทั้งหมดนี้จะถูกเลือกมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมหรือสร้างระบบเทรดของตัวเองนั่นเอง
หลังจากที่เริ่มศึกษาข้อมูลการเทรดมาแล้ว ก่อนที่จะเริ่มมีระบบเทรด ควรจะต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่าเวลาในปัจจุบันเหมาะสมกับเป็นนักเทรดสายไหน จึงเน้นพัฒนาระบบเทรด สไตล์การเทรดให้เหมาะกับสายเทรดของตัวเอง โดยจะมีสายเทรดดังต่อไปนี้
Scalping ซื้อและขายแบบเข้าออกไว กำไรน้อยแต่เน้นเข้าบ่อย
Day Trading ซื้อและขายหุ้นในวัน หาจังหวะเข้าออเดอร์จากการขึ้นลงของกราฟในวัน โดยมักจะเทรดในช่วงเวลาของแต่ละ Time Zone
Swing Trading “ซื้อเมื่อย่อ ขายเมื่อเด้ง” ไปตามแนวรับและแนวต้านสำคัญ สายเก็บกำไรระยะสั้นถึงปานกลาง
Big Trend Following, Position Trading เทรดตามแนวโน้ม คำใหญ่ กำไรจำนวนมากต่อออเดอร์
นักเทรดเดอร์ทั่วโลกจะมีระบบเทรดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้อยู่ 4 รูปแบบ
- SMC (Smart Money Connpet)
- RTM (Read The Market)
- ใช้กราฟเพียงอย่างเดียว
- ใช้ปัจจบัยข่าวเพียงอย่างเดียว
- Hybrid Trading System (สไตล์เทรดแบบผสมผสาน)
ข้อสังเกตุ การเทรดสามารถเรียนรู้ได้ทุกระบบที่ตนเองสนใจ และสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ Confluence หากจุดเข้าที่มีนัยยะสำคัญ (POI) และมีการ Back Test ระบบของตนเองว่าได้ผลจริง มี RRR ที่คุ้มค่าและ Win rate อยู่ที่พอใจแล้วก็จะใช้วิธีไหนเทรดก็ได้
นอกจากเรื่องการวางแผนแล้ว จะต้องทำความเข้าใจการออกลอต (Lot) ซึ่งหากมีการ OVT อาจจะทำให้ล้างพอต พอตแตกได้ ดังนั้น จะต้องทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ก่อน
- MM (Money Management) – จัดการบริการเงินทุน กำไร ขาดทุนอย่างเหมาะสม
- คำนวณ Lot – การออกออเดอร์ควรคำนวณ Lot ตามเงินทุนในพอตของตัวเองให้ดี เช่น พอต 100$ ควรออกไม้ละ 0.01 จำนวน x ไม้ และ SL ที่ x เพื่อมีทุนไว้เล่นแผนต่อไป
- กำหนด SL (Stop Loss) ชัดเจน – สำหรับมือใหม่บางท่านจะกลัวการขาดทุนหรือ SL จริงๆ แล้ว การที่มี SL จะช่วยให้มีเงินทุนเพื่อเล่นในจังหวะถัดไป ป้องกันการล้างพอตได้อีกด้วย **นักเทรดมืออาชีพไม่ได้ชนะเสมอไป แต่เขารู้ว่าควรยอมที่กี่ % เพื่อหาจังหวะทำกำไรใหม่ที่มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
- RR (Risk Reward) – ในแต่ละแผนควรมีการวางแผน RR เพื่อให้รู้ว่าเมื่อขาดทุนจะขนาดทุนเท่าไหร่และเมื่อกำไรจะได้กำไรเท่าไหร่ เช่น Risk:Reward = 1:2, 1:3, 1:5 เป็นต้น จะเห็นได้ว่า กำไรจะมากกว่าความเสี่ยงขาดความเสมอ
สร้างระบบเทรด Forex
การเทรดฟอเร็กซ์ไม่ได้เป็นการเทรดเฉพาะผู้ที่มีเงินทุนจำนวนมาก แต่เป็นการเทรดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สามารถเป็นนักเทรดทั้ง Full Time และ Part-Time อยู่ที่เป้าหมายความสำเร็จของแต่ละคน
การที่จะอยู่ในตลาดระยะยาวจะต้องเข้าใจว่า วางแผน 20% และจิตวิทยาการเทรด 80% นักเทรดมืออาชีพส่วนใหญ่จะรอเข้าจังหวะที่ใช่ตามที่วางแผนไว้เท่านั้น การอดทนรอ ไม่ใช่อารมณ์ในการเข้าเทรด ซึ่งเป็นหัวใจหลักในอาชีพเทรดเดอร์ และอย่าหยุดที่จะเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ
สำหรับมือใหม่ การเทรดไม่ได้ยาก แต่จะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ต้องใช้ความอดทน ล้มลุกคลุกคลานเพื่อเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ มองการเทรดให้เป็นอาชีพ ไม่ได้เข้ามาแค่เดิมพันสนุกๆ ดังนั้น จะต้องใส่ใจกับเรียนรู้ด้านนี้อย่างจริงจัง อย่ายอมแพ้ ทุกการสู้จะเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น หากยังเป็นมือใหม่ อาจจะต้องใช้พอตทดลอง (Demo Port) ให้การฝึกก่อนก็ได้เช่นกัน
การเทรดแบบใช้กราฟเปล่า มีหลากหลายเทคนิค แต่ที่นิยมใช้ มีดังนี้
- ใช้ PA (Price Action) และ Fibbonacci เพื่อหาจุดเข้าและจุด SL,
- ใช้ Indicator เส้น EMA เพื่อหาจุดเข้าและ SL
ทั้งนี้ สามารถนำการเทรดด้วยกราฟเปล่าไปผสมสานให้เกิด Confluence กับหลักการอื่นๆ ได้เช่นกัน เรียนรู้เพิ่มเติม
ทฤษฏี Dow Theory เป็นปัจจัยพื้นฐานของการเทรดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่บ่งบอกถึงการขึ้นลงของกราฟ ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบเทรนด์ขาขึ้น ขาลงซึ่งจะมีหลักการอยู่ทั้งหมด 6 หลักการ เรียนรู้เพิ่มเติม
Smart Money Concept (SMC) เป็นการเทรดแบบ Price Action รูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะการดูพฤติกรรมการเทรดของกลุ่ม Smart Money (กลุ่มรายใหญ่ ที่ซื้อขายอยู่ในตลาด Forex) ได้แก่ สถาบันการเงิน, ธนาคาร, กองทุนเก็งกำไร การซื้อขายของรายใหญ่จะทำให้เกิดการขึ้นลงของกราฟและเกิดพฤติกรรมราคาขึ้นในที่สุด เรียนรู้เพิ่มเติม
RTM Forex ( Read the Market) เป็นการใช้หลักการวิเคราะห์ตลาด Forex ด้วยหลักการ Demand Supply ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ด้วย Price Action (PA) ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย Demand และ Supply Zone, QM, Diamond, Really Base Drop, และอื่นๆ RTM เป็นหลักการหนึ่งที่ กัปตันเทรดดิ้ง ใช้ในการสร้างระบบเทรด เรียนรู้เพิ่มเติม
Elliott Wave เป็นทฤษฎีคลื่น Elliott ที่ Trader ใช้ในการวิเคราะห์วงจรของตลาดฟอเร็กซ์ ตลาดหุ้น ตลาดคริปโต และตลาดอื่น ๆ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการขึ้นลงของตลาดนั้นๆ
หลักการ Elliott Wave จะใช้หลักการจิตวิทยาหมู่ ที่จะสลับขึ้นและลงคล้ายกับอารมณ์ของมนุษย์ทำให้เกิดคลื่นขึ้นลงไปมาเรื่อยๆ ตามเวลาซึ่งจะถุกกำหนดด้วยกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเสมอและจะใช้รวมกับ Fibbonacci เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าออเดอร์ เรียนรู้เพิ่มเติม
หากคุณมีความรู้ที่มากพอแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องใช้ระบบเทรดใดระบบเดียว แต่สามารถนำทุกระบบมาผสมผสานเพื่อให้เป็นระบบเทรดที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด ซึ่งแนะนำว่า ควรผ่าน Back test มาระดับหนึ่งก่อนจะลองมาใช้ในตลาดจริง เรียนรู้เพิ่มเติม
บทเรียนแบบละเอียด
เข้าสู่ระบบสมาชิก True Forex Funds ไม่ได้ Bad Cridential
Forex FundedNext จัดโปรโมชั่นฮาโลวีนคืนเงิน 200% สายกองทุนอย่าพลาด
ทำความรู้จัก Deel วิธีสมัคร รับเงินและถอนเงินกองทุน Forex
คุณเป็นเทรดเดอร์สายไหน เลือกเทคนิค Forex ให้ถูกสาย ทำกำไรได้ดี
จิตวิทยาการเทรด กุญแจสำคัญของความสำเร็จใน Forex
วางแผน 20%
สิ่งสำคัญในการเทรด คือ วิเคราะห์กราฟเพื่อวางแผนการเข้าออเดอร์ในจุดที่มีโอกาสทำกำไรให้มากที่สุด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องนำเทคนิคต่างๆ สร้างระบบเทรดที่เหมาะสมกับตัวเอง สามารถเรียนรู้บนเว็บของเราได้เลย
จิตวิทยา 80%
เมื่อมีแผนแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ จิตวิทยาในการเทรด โดยเฉพาะการอดทนรอเพื่อทำตามระบบและแผนที่วางไว้ เมื่อทำได้ตามแผนที่ถูกต้อง ความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลอย่างแน่นอน